แต่การทำงานของ EMFACE เป็นการส่ง HIFRES ส่งลงลึกไปถึงชั้นกล้ามเนื้อซึ่งอยู่ลึกกว่าชั้น SMAS ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อใบหน้ามีความแข็งแรงขึ้นเกิดการยกกระชับ นอกจากนี้ EMFACE ยังมีคลื่น RF ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคออลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าเฟิร์มกระชับ สรุปคือการทำงานของ Ulthera และ EMFACE ทำงานยกกระชับคนละชั้นกัน ดังนั้นสามารถทำควบคู่กันไป เพื่อให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ดีขึ้นได้
Emface
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าจะลีบลงและสูญเสียไปตามอายุ เช่นเดียวกันกับกล้ามเนื้อส่วนอื่นบนร่างกาย การสูญเสียปริมาตร โพรงใต้ตาและขมับ และการสูญเสียความคมชัดของโครงหน้าและแนวกราม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจเป็นผลมาจากการสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน โปรตีนเหล่านี้มีความสำคัญต่อการทำให้ผิวคงความอ่อนเยาว์และยืดหยุ่น
ในปัจจุบันมีการรักษากลุ่มกล้ามเนื้อบนใบหน้าอาจใช้วิธีการยกเนื้อเยื่อและฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัด นวัตกรรมใหม่ล่าสุดแห่งวงการยกกระชับผิวในปี 2023 หากใครเคยทำ Emsculpt ก็อาจจะทราบดีว่าเทคโนโลยีเขาเป็นอย่างนะคะ อย่าง Emsculpt และ Emsculpt NEO ก็คือเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและกำจัดไขมันในส่วนของร่างกาย ซึ่งในปีนี้ 2023 ที่ Apex Medical Center ได้นำเข้าเทคโนโลยียกกระชับผิว Emface เป็นที่แรกในประเทศไทย ซึ่งมีความคล้ายๆ กับ Emsculpt แต่เป็นการทำบนใบหน้า แค่นอนอยู่เฉยๆ ผิวก็เฟิร์มขึ้นได้ทันที กับ Emface เป็นนวัตกรรมแรกของโลกที่ช่วยยกกระชับใบหน้าและลำคอ กระตุ้นกล้ามเนื้อบนใบหน้า โดยการรักษาผิวหนังและกล้ามเนื้อในเวลาเดียวกัน ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย ร่องแก้ม และย้อนรอยสัญญาณแห่งวัยบนใบหน้า
อ่านหัวข้ออื่นๆเพิ่มเติม
EMFACE คืออะไร
EMFACE จากบริษัท BTL เป็นการรักษาร่างกายที่ผสมผสานเทคโนโลยี HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation) + Synchronized RF HIFES ที่กระตุ้นกล้ามเนื้อเพื่อช่วยในการยกกระชับ ซึ่งทำงานร่วมกับพลังงาน RF ไปเผาผลาญไขมัน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนกับอีลาสตินไปพร้อมๆ กัน
EMFACE ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง
การทำงานของ HIFES บริเวณแก้มทั้ง 2 ข้าง
ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ Zygomaticus major, Zygomaticus minor, และ Risorius ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยในการยกหน้าขึ้น และช่วยในการยิ้ม กับในส่วนกล้ามเนื้อหน้าผาก Frontalis ที่ช่วยดึงและยกหน้าผากขึ้น ทำให้หน้าเกิดการยกกระชับ โดยเป็นการยกกระชับในชั้นที่ลึกกว่าชั้นsmas ซึ่งเป็นชั้นที่ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดดึงหน้า นอกจากนี้การทำงานของRF ช่วยให้เกิดการสร้างของคอลลาเจนกับอีลาสตินเพิ่มขึ้น ลดริ้วรอยทำให้น่าดูเด็กขึ้นดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
หลักการทำงานของ Emface
Emface เป็นครั้งแรกที่ผสาน 2 พลังพร้อมกันในเทคโนโลยีเดียวกัน เพื่อดูแลทั้งผิวหน้าและกล้ามเนื้อ การผสมผสานระหว่าง HIFES และ RF ทำให้กล้ามเนื้อลีบบนใบหน้าและผิวหนังเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน HIFES คือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าที่เน้นความเข้มข้นสูง และคลื่นความถี่วิทยุ RF
หลักการทำงานของ Emface คือการสร้างการหดตัวของกล้ามเนื้อใบหน้าผ่านการสลับขั้วของเส้นประสาท ทำให้มีกล้ามเนื้อดีขึ้นและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อไปยังบริเวณที่ทำการรักษาของใบหน้า กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน การยกกระชับผิว และการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและโทนสีของกล้ามเนื้อแก้มและหน้าผากที่เฉพาะเจาะจง
ขณะทำ Emface จะให้ความรู้สึกผิวอุ่นขึ้น 40 – 42 องศาเซลเซียสในระหว่างการรักษา ทำให้เนื้อเยื่ออุ่น แต่ไม่ถึงกับร้อน เป็นอุณหภูมิที่จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในผิวหนัง แต่ไม่กระทบต่อไขมันบนใบหน้า ซึ่งเป็นการวอร์มกล้ามเนื้อก่อนเพื่อให้ได้รับการหดตัวที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Emface ช่วยแก้ไขความหย่อนคล้อยบริเวณไหนได้บ้าง?
1.บริเวณทั่วหน้า
2.บริเวณหน้าผาก
3.บริเวณแก้ม ทั้ง 2 ข้าง
4.บริเวณ Jawline
5.บริเวณคิ้ว (ยกคิ้ว)
EMFACE แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่ชั้นไหนบ้าง?
- ชั้น Skin layer (epidermis and dermis)
- ชั้น Superfacial Fat (Subcutaneous)
- ชั้น SMAS
- ชั้น Muscle
EMFACE เห็นผลเมื่อไร และต้องทำกี่ครั้ง
หลังจากทำ EMFACE ครั้งแรกจะเริ่มรู้สึกถึงการยกกระชับได้ในทันที และเพื่อให้กล้ามเนื้อได้รับพลังงานการกระตุ้นอย่างเต็มที่ และเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ควรทำ 4 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ โดยเว้นระยะห่างอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
EMFACE อยู่ได้นานเท่าไหร่
หลังทำ EMFACE จะเริ่มรู้สึกถึงความต่างหลังทำ ว่าบริเวณที่ทำมีความยกกระชับขึ้น แต่ผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อยๆและเห็นผลภายใน 1 เดือน ทางแพทย์แนะนำควรทำทุกๆ 6 เดือน ถึง 1 ปี
EMFACE สามารถทำร่วมกับ Filler ได้หรือไม่
EMFACE สามารถทำร่วมกันกับฟิลเลอร์ ในวันเดียวกันได้ โดยทำ EMFACE ก่อน ตามด้วยฟิลเลอร์ แต่ถ้าในคนที่ทำฟิลเลอร์มาก่อน ควรเว้นระยะห่าง 2 อาทิตย์เพื่อให้หน้าเข้าที่ และฟื้นตัวเต็มที่หากมีรอยฟกช้ำจากการฉีด
EMFACE เจ็บไหม ขณะทำมีความรู้สึกอย่างไร
การ EMFACE ไม่เจ็บ แต่ขณะทำจะรู้สึกอุ่นๆ ร่วมกับมีแรงสั่นสะเทือนและกระตุกของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เหมือนการนวดเบาๆ
EMFACE กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร
Ulthera คือเทคโนโลยีการรักษาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง โดยใช้คลื่นเสียง Focus Ultrasound แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็กๆ ลงลึกไปยังใต้ผิวระดับชั้น SMAS ทำให้เกิดการยกกระชับ
EMFACE กับ Thermage ต่างกันอย่างไร
Thermage เป็นเทคโนโลยี High Radio Frequency) ปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง โดยปล่อยพลังงาน RF ลงไปในชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้หน้าดูกระชับและอ่อนเยาว์ ซึ่งเป็นการกระชับชั้นเดียวกับ พลังงาน RF ใน EMFACE แต่ EMFACE จะมีการกระตุ้นการยกกระชับในชั้นกล้ามเนื้อด้วย ดังนั้นสามารถทำควบคู่กันไปเพื่อให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ดีขึ้นได้
EMFACE บริเวณหน้าผากช่วยลดริ้วรอย ต่างจากการฉีด “ท็อกซิน” อย่างไร
กระบวนการทำงานของ ” ท็อกซิน ” บริเวณหน้าผากเป็นการบล็อคการทำงานของกล้ามเนื้อ Frontalis ชั่วคราว ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้จากฤทธิ์จากจากการฉีดท็อกซิน กล้ามเนื้อจึงมีการคลายตัวริ้วรอยต่างๆ จะดูเรียบเนียนขึ้น ต่างจากการทำงานของ EMFACE ที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหน้าผาก Frontalis ให้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยดึงและยกหน้าผากขึ้น หลักการทำงานที่ต่างกันแต่สามารถทำร่วมกันได้และส่งเสริมให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น
EMFACE ปลอดภัยไหม มีผลข้างเคียงอย่างไร
การทำ EMFACE มีความปลอดภัยสูงและไม่มีผลค้างเคียง เหมาะมากสำหรับคนที่กลัวเข็มและกลัวความเจ็บ และเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่สำหรับคนที่มีโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อต่างๆ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ที่ตั้งครรภ์อยู่ รวมถึงคนที่มีปัญหาผิวหน้า เช่น ผิวเป็นสิวอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ